
ในยุคที่โลกกำลังเจอวิกฤติการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หลายคนอาจพบว่าบ้านร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคำว่า Net Zero ก็กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในเวทีโลก แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่เป็นเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือกับภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ แต่ความหมายที่แท้จริงของ Net Zero คืออะไร และทำไมมันจึงมีความสำคัญต่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนบนโลกใบนี้?
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Net Zero Emission คือเรื่องที่จำเป็นสำหรับทุกคนในสังคม ไม่ใช่แค่เรื่องของนักวิทยาศาสตร์หรือผู้กำหนดนโยบายเท่านั้น เพราะการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ต้องอาศัยความร่วมมือจากในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับคนทั่วไป ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่และรัฐบาล โดยบทความนี้จะพาคุณไปสำรวจความหมายและความสำคัญของ Net Zero เพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมกันสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
Net Zero คือแนวทางการจัดการก๊าซเรือนกระจกทุกชนิด

Net Zero หมายถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นแนวคิดที่มุ่งสู่การสร้างสมดุลระหว่างปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศกับปริมาณที่ถูกดึงกลับหรือกำจัดออกไป โดยภาวะสมดุลนี้เป็นเหมือนการรักษาสมการให้เท่ากับศูนย์ ไม่เพิ่มมลภาวะให้กับชั้นบรรยากาศของโลก
ดังนั้น การบรรลุเป้าหมาย Net Zero Carbon คือการสร้างสมดุลผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนควบคู่ไปกับการเพิ่มแหล่งดูดซับ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่า การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราต้องหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด นอกจากนี้ ยังรวมถึงการชดเชยผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การลงทุนในโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยทั้งหมดนี้ก็มีเป้าหมายเพื่อให้ผลลัพธ์สุทธิของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ อันจะนำไปสู่การชะลอและยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาวนั่นเอง
ระดับการรับรอง Net Zero มีอะไรบ้าง?
ระดับการรับรอง Net Zero คือหลักเกณฑ์ที่มีอยู่หลากหลายมาตรฐาน ซึ่งครอบคลุมในหลายมิติของการจัดการสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนี้
- มาตรฐาน ISO 14068-1 : 2023 เป็นแนวทางล่าสุดที่เน้นการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ Net Zero โดยเฉพาะในส่วนของการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน
- มาตรฐาน ISO 14064 : 2018 เป็นแนวทางในการคำนวณ Carbon Footprint คือปริมาณคาร์บอนที่องค์กรปล่อยออกมา
- มาตรฐาน ISO 14067 : 2018 ให้แนวทางในการคำนวณ Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถประเมินและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตลอดวงจร
- มาตรฐาน ISO 14001 : 2015 เป็นกรอบการทำงานที่ครอบคลุมสำหรับระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาและดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
- มาตรฐาน ISO 50001 : 2018 เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
Net Zero ต่างจาก Carbon Neutrality หรือไม่ อย่างไร?

Carbon Neutrality vs Net Zero คือแนวคิดที่มีจุดมุ่งหมายคล้ายกันในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ทั้งสองมีความแตกต่างที่สำคัญคือ Carbon Neutrality เน้นการสร้างสมดุลของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยชดเชยการปล่อยคาร์บอนด้วยการดูดซับหรือลดการปล่อยในปริมาณที่เท่ากัน ในขณะที่ Net Zero มีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยครอบคลุมการจัดการกับก๊าซเรือนกระจกทุกประเภทที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ไม่เพียงแต่ CO2 เท่านั้น แต่รวมถึงก๊าซมีเทน (CH4) และไนตรัสออกไซด์ (N2O) ด้วย
Net Zero ยังถือว่ามีความท้าทายมากกว่าในแง่ของการปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้ในระดับองค์กรหรือประเทศ เพราะต้องคำนึงถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งหมายความว่าองค์กรต้องพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการดำเนินงานโดยตรงของตน รวมถึงผลกระทบจากซัพพลายเออร์และการใช้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ด้วยเหตุนี้ Carbon Neutrality จึงเหมือนเป็นก้าวแรกหรือเป้าหมายระยะสั้นในการเดินทางสู่เป้าหมาย Net Zero ในระยะยาว
Net Zero เป็นแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญอย่างไร จำเป็นต้องทำหรือไม่?
แนวคิด Net Zero มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อองค์กรในปัจจุบัน เพราะถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการตอบสนองต่อวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม โดยการดำเนินการตามแนวทาง Net Zero นั้นจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างโอกาสทางธุรกิจ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กร
นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรในสายตาของผู้บริโภค นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอีกด้วย ที่สำคัญ การมุ่งสู่ Net Zero จะช่วยให้องค์กรเตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นในอนาคต และสร้างโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
Net Zero แนวคิดการสร้างความยั่งยืนที่คุณก็ทำได้!
Net Zero คือแนวคิดที่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยและการดูดซับก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ แม้แนวคิดนี้อาจดูเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก แต่ความจริงแล้วทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ โดยเริ่มจากการเลือกใช้วัสดุรักษ์โลกและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน

หนึ่งในตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแนวคิด Net Zero คือ ยิปซัมตราช้าง ซึ่งได้รับการรับรองฉลาก Carbon Footprint ถึง 10 ผลิตภัณฑ์ แสดงถึงความใส่ใจในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ซึ่งการเลือกใช้แผ่นยิปซัมตราช้างเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วย จึงเรียกได้ว่าเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืนและบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในอนาคต
แผ่นยิปซัมตราช้างที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ แผ่นยิปซัมมาตรฐานตราช้าง ความหนา 9 มม. และ12 มม., แผ่นยิปซัมมอยส์บล็อค ตราช้าง (ทนชื้น) ความหนา 9 มม. และ12 มม., แผ่นยิปซัมไฟร์บล็อค ตราช้าง (ทนไฟ) ความหนา 12 มม. และ 15 มม., แผ่นยิปซัมเอคโค่บล็อค ตราช้าง (ลดเสียงสะท้อน) ความหนา 12 มม., แผ่นยิปซัมมัลติวอลล์ ตราช้าง ความหนา 15 มม., แผ่นกลาสบล็อค ตราช้าง ความหนา 12.7 มม. และ15.9 มม.
โดยหาซื้อผลิตภัณฑ์ที่สนใจได้ที่ร้านผู้แทนจำหน่ายเอสซีจีและร้านขายวัสดุก่อสร้างชั้นนำทั่วประเทศ หรือค้นหาข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่
- เว็บไซต์: https://www.siamgypsum.com/th_th/
- Facebook: https://www.facebook.com/GypsumTraChangTH/