ในยุคที่โลกกำลังเจอวิกฤติการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หลายคนอาจพบว่าบ้านร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคำว่า Net Zero ก็กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในเวทีโลก แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่เป็นเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือกับภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ แต่ความหมายที่แท้จริงของ Net Zero คืออะไร และทำไมมันจึงมีความสำคัญต่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนบนโลกใบนี้?
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Net Zero Emission คือเรื่องที่จำเป็นสำหรับทุกคนในสังคม ไม่ใช่แค่เรื่องของนักวิทยาศาสตร์หรือผู้กำหนดนโยบายเท่านั้น เพราะการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ต้องอาศัยความร่วมมือจากในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับคนทั่วไป ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่และรัฐบาล โดยบทความนี้จะพาคุณไปสำรวจความหมายและความสำคัญของ Net Zero เพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมกันสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
สารบัญบทความ
Net Zero คือแนวทางการจัดการก๊าซเรือนกระจกทุกชนิด
ระดับการรับรอง Net Zero มีอะไรบ้าง?
Net Zero ต่างจาก Carbon Neutrality หรือไม่ อย่างไร?
Net Zero เป็นแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญอย่างไร จำเป็นต้องทำหรือไม่?
สรุป Net Zero แนวคิดการสร้างความยั่งยืนที่คุณก็ทำได้!
Net Zero คือแนวทางการจัดการก๊าซเรือนกระจกทุกชนิด
Net Zero หมายถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นแนวคิดที่มุ่งสู่การสร้างสมดุลระหว่างปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศกับปริมาณที่ถูกดึงกลับหรือกำจัดออกไป โดยภาวะสมดุลนี้เป็นเหมือนการรักษาสมการให้เท่ากับศูนย์ ไม่เพิ่มมลภาวะให้กับชั้นบรรยากาศของโลก
ดังนั้น การบรรลุเป้าหมาย Net Zero Carbon คือการสร้างสมดุลผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนควบคู่ไปกับการเพิ่มแหล่งดูดซับ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่า การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราต้องหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด นอกจากนี้ ยังรวมถึงการชดเชยผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การลงทุนในโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยทั้งหมดนี้ก็มีเป้าหมายเพื่อให้ผลลัพธ์สุทธิของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ อันจะนำไปสู่การชะลอและยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาวนั่นเอง
ระดับการรับรอง Net Zero มีอะไรบ้าง?
ระดับการรับรอง Net Zero คือหลักเกณฑ์ที่มีอยู่หลากหลายมาตรฐาน ซึ่งครอบคลุมในหลายมิติของการจัดการสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนี้
● มาตรฐาน ISO 14068-1 : 2023 เป็นแนวทางล่าสุดที่เน้นการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ Net Zero โดยเฉพาะในส่วนของการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน
● มาตรฐาน ISO 14064 : 2018 เป็นแนวทางในการคำนวณ Carbon Footprint คือปริมาณคาร์บอนที่องค์กรปล่อยออกมา
● มาตรฐาน ISO 14067 : 2018 ให้แนวทางในการคำนวณ Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถประเมินและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตลอวงจร
● มาตรฐาน ISO 14001 : 2015 เป็นกรอบการทำงานที่ครอบคลุมสำหรับระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาและดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
● มาตรฐาน ISO 50001 : 2018 เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
(ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ https://carbonologyhub.com/)
Net Zero ต่างจาก Carbon Neutrality หรือไม่ อย่างไร?
Carbon Neutrality vs Net Zero คือแนวคิดที่มีจุดมุ่งหมายคล้ายกันในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ทั้งสองมีความแตกต่างที่สำคัญคือ Carbon Neutrality เน้นการสร้างสมดุลของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยชดเชยการปล่อยคาร์บอนด้วยการดูดซับหรือลดการปล่อยในปริมาณที่เท่ากัน ในขณะที่ Net Zero มีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยครอบคลุมการจัดการกับก๊าซเรือนกระจกทุกประเภทที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ไม่เพียงแต่ CO2 เท่านั้น แต่รวมถึงก๊าซมีเทน (CH4) และไนตรัสออกไซด์ (N2O) ด้วย
Net Zero ยังถือว่ามีความท้าทายมากกว่าในแง่ของการปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้ในระดับองค์กรหรือประเทศ เพราะต้องคำนึงถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งหมายความว่าองค์กรต้องพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการดำเนินงานโดยตรงของตน รวมถึงผลกระทบจากซัพพลายเออร์และการใช้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ด้วยเหตุนี้ Carbon Neutrality จึงเหมือนเป็นก้าวแรกหรือเป้าหมายระยะสั้นในการเดินทางสู่เป้าหมาย Net Zero ในระยะยาว
Net Zero เป็นแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญอย่างไร จำเป็นต้องทำหรือไม่?
แนวคิด Net Zero มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อองค์กรในปัจจุบัน เพราะถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการตอบสนองต่อวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม โดยการดำเนินการตามแนวทาง Net Zero นั้นจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างโอกาสทางธุรกิจ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กร
นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรในสายตาของผู้บริโภค นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอีกด้วย ที่สำคัญ การมุ่งสู่ Net Zero จะช่วยให้องค์กรเตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นในอนาคต และสร้างโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
Net Zero แนวคิดการสร้างความยั่งยืนที่คุณก็ทำได้!
Net Zero คือแนวคิดที่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยและการดูดซับก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ แม้แนวคิดนี้อาจดูเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก แต่ความจริงแล้วทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ โดยเริ่มจากการเลือกใช้วัสดุรักษ์โลกและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน
หนึ่งในตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแนวคิด Net Zero คือ ยิปซัมตราช้าง ซึ่งได้รับการรับรองฉลาก Carbon Footprint ถึง 10 ผลิตภัณฑ์ แสดงถึงความใส่ใจในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ซึ่งการเลือกใช้แผ่นยิปซัมตราช้างเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วย จึงเรียกได้ว่าเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืนและบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในอนาคต
แผ่นยิปซัมตราช้างที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ แผ่นยิปซัมมาตรฐาน
ตราช้าง ความหนา 9 มม. และ12 มม., แผ่นยิปซัมมอยส์บล็อค ตราช้าง (ทนชื้น) ความหนา 9 มม. และ12 มม., แผ่นยิปซัมไฟร์บล็อค ตราช้าง (ทนไฟ) ความหนา 12 มม. และ 15 มม., แผ่นยิปซัมเอคโค่บล็อค ตราช้าง (ลดเสียงสะท้อน) ความหนา 12 มม., แผ่นยิปซัมมัลติวอลล์ ตราช้าง ความหนา 15 มม., แผ่นกลาสบล็อค ตราช้าง ความหนา 12.7 มม. และ15.9 มม.
โดยหาซื้อผลิตภัณฑ์ที่สนใจได้ที่ร้านผู้แทนจำหน่ายเอสซีจีและร้านขายวัสดุก่อสร้างชั้นนำทั่วประเทศ หรือค้นหาข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่
● เว็บไซต์: https://www.siamgypsum.com/th_th/
● Facebook: https://www.facebook.com/GypsumTraChangTH/